การรักษาเอชไอวี

การเริ่มต้นการรักษาเอชไอวีตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน หากคุณยังไม่มีแพทย์ผู้ดูแลด้านเอชไอวี สามารถค้นหาศูนย์บริการใกล้บ้านได้ที่นี่
อยู่ในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ผลการรักษาจะดีที่สุด เมื่อคุณรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์ตามนัด ปัจจุบันมียาหลายชนิดให้เลือก แพทย์จะช่วยแนะนำสูตรยาที่เหมาะสมกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคุณ
ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
การรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดูแลสุขภาพจิต จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลดโอกาสเจ็บป่วย และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
ตรวจไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อ (U=U)
หากคุณรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด จนปริมาณไวรัสในร่างกายลดต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable Viral Load) คุณจะมีสุขภาพที่ดี และไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ นี่คือเป้าหมายหลักของการรักษาในปัจจุบัน

การรักษาเอชไอวีคืออะไร?
การรักษาเอชไอวีเรียกว่า ART (Antiretroviral Therapy)เป็นการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์กำหนด
- ART จะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น
- แม้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ ART สามารถควบคุมเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คนส่วนใหญ่สามารถควบคุมไวรัสได้ภายใน 6 เดือน หลังเริ่มยา
หมายเหตุ: การรักษาเอชไอวีไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือเริม ควรใช้ ถุงยางอนามัยร่วมด้วยเสมอ
คำถามที่พบบ่อย
ควรเริ่มรักษาเอชไอวีเมื่อไหร่?
= คุณควรเริ่มต้นการรักษาเอชไอวีทันที หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าคุณจะติดเชื้อมานานแค่ไหน หรือยังรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงดีแค่ไหนก็ตาม การเริ่มยาเร็วช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ก่อนเริ่มการรักษา อย่าลืมแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกแนวทางการรักษาที่ปลอดภัย และเหมาะสมกับคุณที่สุด
ถ้าทำการรักษาเอชไอวีล่าช้า จะเกิดอะไรขึ้น?
= หากคุณชะลอการเริ่มรักษาเอชไอวี เชื้อไวรัสจะยังคงทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างต่อเนื่อง ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไร ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่น การเจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อน และการพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น การเริ่มรักษาให้เร็วที่สุด จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพของคุณ และปกป้องคนที่คุณรัก
การรักษาเอชไอวี มีกี่ประเภท?
= ปัจจุบัน การรักษาเอชไอวีมี 2 รูปแบบหลัก ได้แก่:
- ยารับประทาน (แบบเม็ด):แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการรักษาใหม่ มีทั้งสูตรยาตัวเดียว และสูตรยาผสมในเม็ดเดียว ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) แล้วหลายชนิด สะดวก ปลอดภัย และเป็นแนวทางหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
- ยาฉีด (แบบ Long-Acting Injection):*ยังไม่เข้าไทยเหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายได้จนตรวจไม่พบ มาอย่างน้อย 3 เดือน (Viral suppression) เป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องกินยาทุกวัน แค่ฉีดตามกำหนด (เช่น ทุก 1–2 เดือน)

ประโยชน์ของการกินยารักษาเอชไอวี ตามแพทย์สั่ง
= การรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวี (ART) อย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่งจะช่วยให้:
1. ลดปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load)การรับประทานยารักษาเอชไอวี (ART) อย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำ และช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
- เมื่อรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ปริมาณไวรัสในเลือดจะลดลงอย่างมาก จนเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “ควบคุมไวรัสได้” (Viral Suppression) ซึ่งหมายถึงมีเชื้อเอชไอวีน้อยกว่า 200 ชิ้นต่อเลือด 1 มิลลิลิตร
- ในบางราย ปริมาณไวรัสจะต่ำมาก จนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเลือดทั่วไปซึ่งเรียกว่า “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable Viral Load)
- หากผลเลือดของคุณแสดงว่า ไวรัสลดลงหลังเริ่มรักษา นั่นคือ สัญญาณว่าการรักษากำลังได้ผล คุณควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำของแพทย์โดยไม่ขาดยา
- แต่ถ้าคุณหยุด หรือลืมกินยาเป็นระยะ ๆ จะเปิดโอกาสให้ไวรัสเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
2. ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่นหากคุณรักษาเอชไอวีจน ปริมาณไวรัสในเลือด ต่ำ จนตรวจไม่พบ (Undetectable) คุณจะ ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวี ให้ผู้อื่นผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้หลักการนี้เรียกว่า “U=U” (Undetectable = Untransmittable)
- การมีปริมาณไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อผ่านการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า ลดได้มากเพียงใด
- สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ หากกินยารักษาเอชไอวีอย่างเคร่งครัด ตลอดการตั้งครรภ์และคลอดบุตร รวมถึงให้ยารักษาเอชไอวีกับทารกต่ออีก 4–6 สัปดาห์หลังคลอด ความเสี่ยงที่ลูกจะติดเชื้อจากแม่ อาจต่ำกว่า 1%
- ในกรณีการให้นมบุตร ปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบ อาจช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อผ่านน้ำนมได้อย่างมาก แต่ยัง ไม่สามารถตัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงยังไม่แนะนำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้นมบุตร
3. ช่วยป้องกันการดื้อยา ช่วยป้องกันการดื้อยา การรับประทานยารักษาเอชไอวีตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการดื้อยา
- หากคุณ ลืมหรือเว้นการกินยาเป็นระยะ ไวรัสอาจมีโอกาสกลายพันธุ์ และทำให้ยาที่ใช้อยู่ ไม่ได้ผลอีกต่อไป
- เมื่อเกิดการดื้อยา ตัวเลือกในการรักษาที่มีอยู่จะลดลง และอาจต้องใช้ยาที่มีผลข้างเคียงมากขึ้น หรือมีราคาสูงที่สูงขึ้น
- ที่สำคัญ เชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา ยังสามารถแพร่ต่อไปยังผู้อื่นได้ด้วย
การรักษาเอชไอวี มีผลข้างเคียงหรือไม่?
= ยารักษาเอชไอวีอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการ และหลายคนสามารถรับยาได้โดยไม่มีปัญหา ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่:
- คลื่นไส้ หรืออาเจียน
- ท้องเสีย
- นอนไม่หลับ
- ปากแห้ง
- ปวดศีรษะ
- ผื่นคันบนผิวหนัง
- เวียนศีรษะ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
หากคุณมีอาการไม่สบายหลังเริ่มยา ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที แพทย์อาจให้ยาบรรเทาอาการ หรือ ปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้เหมาะกับคุณมากขึ้น

ถ้าการรักษาเอชไอวีไม่ได้ผล ควรทำอย่างไร?
= หากการรักษาเอชไอวีของคุณไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ เช่น ปริมาณไวรัสไม่ลดลง หรือ มีผลข้างเคียงรุนแรงจนใช้ยาต่อไม่ได้ แพทย์อาจปรับเปลี่ยนสูตรยาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว เพราะร่างกายของแต่ละคน ตอบสนองต่อยาต่างกันการปรับแผนการรักษา จึงเป็นเรื่องปกติในกระบวนการดูแลสุขภาพระยะยาว อย่าหยุดยาด้วยตัวเอง! และอย่ากังวล หากต้องเปลี่ยนยา แพทย์จะช่วยคุณเลือกแนวทางที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด
การรักษาเอชไอวีต่อเนื่องอาจเป็นเรื่องยาก แล้วจะรับมืออย่างไรดี?
= หากคุณกำลังมีปัญหาในการกินยาหรือฉีดยาให้ตรงตามแผนการรักษา ควรแจ้งแพทย์หรือผู้ดูแลสุขภาพของคุณทันที
- พูดคุยกับแพทย์หากคุณมีปัญหาในการรักษาเอชไอวี หากคุณพบว่าการรักษาเอชไอวีเป็นเรื่องยาก อย่าเก็บไว้คนเดียว ควรพูดคุยกับแพทย์หรือผู้ให้บริการสุขภาพของคุณทันที เพื่อหาทางแก้ไขที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ
- ปัญหาในการกินยาเม็ด บางคนรู้สึกว่าไม่สะดวกหรือไม่สามารถกินยาได้ตรงเวลาในแต่ละวัน แพทย์อาจให้คำแนะนำในการจัดการปัญหาเหล่านี้ เช่น การเปลี่ยนไปใช้ยาฉีดที่ไม่ต้องกินทุกวัน
- ผลข้างเคียงจากยา อาการอย่างคลื่นไส้หรือท้องเสียอาจทำให้รู้สึกไม่อยากรักษาต่อ แพทย์สามารถสั่งยาบรรเทาอาการ หรือแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อช่วยดูแลสุขภาพโดยรวมและลดผลข้างเคียง
- ความเหนื่อยล้าจากการรักษา เมื่อเวลาผ่านไป บางคนอาจรู้สึกหมดแรงหรือหมดกำลังใจในการรักษาต่อเนื่อง การพูดคุยกับแพทย์อย่างเปิดเผยสามารถช่วยหาวิธีที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับคุณมากขึ้น
- ตารางชีวิตที่ยุ่งเกินไป งานประจำหรือการเดินทางอาจทำให้ลืมกินยา หรือพลาดนัดฉีดยา ในบางกรณีอาจสามารถพกยาสำรองไว้ที่ทำงานหรือในรถได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะบางตัวยาอาจเสื่อมคุณภาพ หากเก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม
- รีบปรึกษาแพทย์เมื่อคุณลืมกินยา เพื่อหาวิธีรับมืออย่างเหมาะสม
- การลืมกินยา หากคุณเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินยาให้กินทันทีที่นึกได้และให้กินยามื้อต่อไปตามเวลาปกติ (เว้นแต่แพทย์จะแนะนำเป็นอย่างอื่น)
- หากลืมกินหลายครั้ง หรือขาดยาหลายวัน มีปัญหาในการจำเวลาการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีช่วย เช่น การตั้งเตือน การใช้แอปช่วยจำ หรือจัดตารางยาใหม่ให้เหมาะกับชีวิตประจำวัน ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากขึ้น
- ขอความช่วยเหลือ เมื่อคุณมีปัญหาสุขภาพจิตหรือการใช้สารเสพติด สุขภาพจิตและร่างกายมีผลต่อความสามารถในการรักษาเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาทางอารมณ์ หรือมีการใช้สารเสพติดที่กระทบต่อสุขภาพ ควรขอความช่วยเหลือโดยเร็ว
- อาการป่วย หรือภาวะซึมเศร้า หากคุณรู้สึกป่วยทางกาย หรือจิตใจหดหู่ เฉื่อยชา ไม่มีกำลังใจ อาจทำให้คุณลืมกินยา หรือไม่อยากรักษาต่อเนื่อง คุณสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วย เพื่อส่งต่อคุณไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่
- การใช้สารเสพติด (ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์) หากการใช้สารเสพติดเริ่มส่งผลต่อการดูแลตัวเอง เช่น ลืมกินยา พลาดนัดพบแพทย์ อาจถึงเวลาที่คุณควรหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน หรือขอแรงใจจากคนใกล้ตัว ครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุนในชุมชน สามารถเป็นแรงผลักดันสำคัญในการช่วยให้คุณรักษาได้ต่อเนื่อง
คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ขอความช่วยเหลือในเวลาที่คุณต้องการ คือก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ หรือลองทำแบบทดสอบภาวะซึมเศร้า เพื่อประเมินสุขภาพจิตของคุณที่นี่