ไข้หวัดใหญ่คืออะไร? อาการแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสอินฟลูเอนซา โดยแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์หลัก เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B ซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วในทุก
ฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวหรือช่วงที่มีฝนตกชุก การแยกไข้หวัดใหญ่ให้ออกจากไข้หวัดธรรมดาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาการของไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มรุนแรงกว่า และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หอบหืดกำเริบ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
อาการของไข้หวัดใหญ่ที่ควรรู้
อาการของไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันภายใน 1–3 วันหลังรับเชื้อ อาการทั่วไปที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูง 38–40 องศาเซลเซียส พร้อมอาการหนาวสั่น
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ โดยเฉพาะหลัง ไหล่ ขา และแขน
- ปวดศีรษะรุนแรง บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ทำให้ไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
- เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใส
- ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย
- ในเด็กเล็กอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือร้องกวนผิดปกติ

ไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?
แม้จะฟังดูคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดาแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านของความรุนแรงและผลกระทบ
| ลักษณะ | ไข้หวัดธรรมดา | ไข้หวัดใหญ่ |
| ระยะเริ่มอาการ | ค่อยเป็นค่อยไป | มาเร็วภายใน 1-3 วัน |
| ไข้ | ไข้ต่ำหรือไม่มีไข้ | ไข้สูงเฉียบพลัน |
| อาการปวดเมื่อย | เล็กน้อย | มาก ปวดทั่วตัว |
| ความเหนื่อยล้า | บางครั้ง | พบเสมอ |
| ภาวะแทรกซ้อน | พบได้น้อย | อาจรุนแรงถึงชีวิต |
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ เช่น
- เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 2 ปี
- ผู้สูงอายุอายุ 65 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
- ผู้ทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานที่แออัด
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยทำได้โดยการซักประวัติ ร่วมกับการตรวจร่างกาย และหากจำเป็นแพทย์อาจใช้วิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก (Rapid Test)
การรักษาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปประกอบด้วย:
- ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้แอสไพรินในเด็ก
- ยาต้านไวรัส (Oseltamivir) หากเริ่มให้ภายใน 48 ชั่วโมงจะได้ผลดีที่สุด
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะหากไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
ป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้อย่างไร?
การป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมสุขภาพและการฉีดวัคซีนประจำปี ซึ่งถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด วิธีป้องกันที่ได้ผล:
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ปีละครั้ง
- ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อออกสู่ที่สาธารณะ
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นแค่ไหน?
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) เป็นวัคซีนที่ป้องกันได้ครอบคลุม ทั้งสายพันธุ์ A (H1N1, H3N2) และสายพันธุ์ B (Yamagata, Victoria)
ข้อดีของการฉีดวัคซีน:
- ลดโอกาสในการป่วยและนอนโรงพยาบาล
- ลดความรุนแรงของอาการ
- ลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ปลอดภัย ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
สรุป ไข้หวัดใหญ่คือโรคติดต่อที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่สามารถรุนแรงได้โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง การรู้จักอาการตั้งแต่เนิ่นๆ การป้องกันด้วยวัคซีน และการพบแพทย์อย่างถูกวิธีจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว หากคุณเริ่มมีอาการเช่น ไข้สูง ปวดเมื่อยรุนแรง อ่อนเพลีย หรือไอแห้ง ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และหากยังไม่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ อย่ารอช้า เพราะการป้องกันที่ดีที่สุด คือการดูแลตัวเองก่อนจะป่วย
