การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral Sex) เป็นหนึ่งในรูปแบบกิจกรรมทางเพศที่ได้รับความนิยมในทุกเพศทุกวัย ด้วยความรู้สึกใกล้ชิด เป็นธรรมชาติ และให้ความพึงพอใจแก่ทั้งสองฝ่าย แต่อย่าลืมว่า กิจกรรมทางเพศรูปแบบนี้ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก การให้ความรู้ ความเข้าใจ และการใช้วิธีป้องกันอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ความสุขไม่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
หัวข้อต่างๆ
Oral Sex คืออะไร?
ออรัลเซ็กส์ (Oral Sex) หรือ เพศสัมพันธ์ทางปาก คือ การใช้ปาก ลิ้น และริมฝีปากในการสัมผัส เล้าโลม หรือกระตุ้นอวัยวะเพศของคู่นอน ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะเพศชาย หรืออวัยวะเพศหญิง รวมไปถึงการเล้าโลมบริเวณทวารหนักในบางกรณี กิจกรรมนี้มักถูกมองว่าเป็น “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกว่า” เพราะไม่มีการสอดใส่ที่อาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ แต่ในความเป็นจริง OralSex ยังคงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม เชื้อ HPV ถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่หลายคนเลือกเพราะให้ความพึงพอใจทั้งทางกายและใจ แต่การมีความรู้และการป้องกันอย่างเหมาะสมคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมากขึ้น
Oral Sex มีประโยชน์อย่างไร ?

- เพิ่มความหลากหลาย
- ช่วยเพิ่มประสบการณ์และความตื่นเต้นในความสัมพันธ์
- เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคู่รักที่ต้องการจรูปแบบความสุขทางเพศที่แตกต่าง
- สร้างความใกล้ชิดและความสนิทสนม
- เป็นการแสดงความรักและความไว้วางใจระหว่างคู่
- ช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางอารมณ์
- ลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
- เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ไม่พร้อมมีบุตรหรือต้องการหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์
- ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ
- การกระตุ้นและการผ่อนคลาย
- ช่วยกระตุ้นจุดไวต่อความรู้สึกบริเวณอวัยวะเพศ
- สามารถนำไปสู่การผ่อนคลายและลดความเครียด
- เป็นส่วนหนึ่งของการเล้าโลม
- ช่วยในการกระตุ้นอารมณ์ก่อนมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่
- เพิ่มความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ช่วยให้การมีเพศสัมพันธ์สะดวกและสบายขึ้น
- ทางเลือกสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย
- เหมาะสำหรับคู่ที่มีข้อจำกัดในการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่
- เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย
- การเรียนรู้ร่างกายของคู่
- ช่วยให้เข้าใจความต้องการและจุดที่ไวต่อความรู้สึกของคู่มากขึ้น
- ส่งเสริมการสื่อสารเรื่องเพศระหว่างคู่
- ประโยชน์ทางสุขภาพ
- การหลั่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย
- อาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย
- ลดความเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่
- ช่วยให้ผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องความชุ่มชื้นได้รับความพึงพอใจทางเพศ
- เพิ่มความมั่นใจ
- การให้ความสุขแก่คู่ของตนสามารถเพิ่มความมั่นใจทางเพศ
- ช่วยสร้างทักษะและประสบการณ์ทางเพศ
แม้จะมีประโยชน์หลายประการ แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความเสี่ยง และปฏิบัติตามวิธีการป้องกันที่เหมาะสม
ประเภทของOral Sex
- Fellatio
- การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศชาย
- เป็นที่รู้จักในชื่อทั่วไปว่า “การอมอวัยวะเพศ”
- สามารถกระตุ้นได้ทั้งส่วนปลายและลำตัว
- Cunnilingus
- การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง
- มักเน้นที่บริเวณคลิตอริสและแคมเหนือ-ล่าง
- Analingus
- การใช้ปากกระตุ้นบริเวณทวารหนัก
- เป็นที่รู้จักในชื่อ “rimming”
- การใช้ลิ้นสัมผัสบริเวณทวารหนัก
ทำไม Oral Sex ถึงได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่?

ในยุคปัจจุบัน พฤติกรรมทางเพศของคนรุ่นใหม่มีความหลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้นOral Sex กลายเป็นหนึ่งในรูปแบบกิจกรรมทางเพศที่ได้รับความนิยม เนื่องจากหลายคนมองว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ และช่วยสร้างความใกล้ชิดทางร่างกายและอารมณ์ระหว่างคู่รัก นอกจากนี้ สื่อโซเชียลและสื่อลามกที่เข้าถึงง่ายยังมีบทบาทในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับOral Sex ซึ่งอาจส่งผลต่อทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่เปิดรับมากขึ้น นอกจากนี้ ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาในโรงเรียนบางแห่งเริ่มให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศที่หลากหลายมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับการทดลอง ค้นหาความสุข และสร้างความสัมพันธ์อย่างปลอดภัยผ่านการปฏิบัติเช่นนี้
การสื่อสารกับคู่นอน
- พูดคุยเกี่ยวกับความคาดหวัง และขอบเขตที่ยอมรับได้ ก่อนมีเพศสัมพันธ์
- แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับประวัติสุขภาพทางเพศ และการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ล่าสุด
- ให้ความสำคัญกับการยินยอม และเคารพการตัดสินใจของคู่
- สื่อสารอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับความรู้สึกสบายใจ หรือไม่สบายใจ ระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- ตกลงกันเรื่องการใช้อุปกรณ์ป้องกัน และวิธีการป้องกันที่จะใช้
Oral Sexเสี่ยงต่ออะไรบ้าง ?
การมีเพศสัมพันธ์ทางปากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs)
- เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
- หนองใน (Gonorrhea)
- ซิฟิลิส (Syphilis)
- เอชไอวี (HIV) แม้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่
- ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)
- เอชพีวี (HPV)
- การติดเชื้อในช่องปากและลำคอ
- เชื้อราในช่องปาก
- แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบในช่องปากและลำคอ
- ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- มะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง (เนื่องจากการติดเชื้อ HPV)
- มะเร็งช่องปากหรือลำคอในทั้งชายและหญิง (เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HPV)
- การบาดเจ็บ
- การระคายเคืองหรือบาดแผลขนาดเล็กในช่องปากหรืออวัยวะเพศ
- อาการแพ้จากการสัมผัสกับน้ำอสุจิหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด
- การสำลักหรือการหายใจติดขัด
- อาจเกิดขึ้นในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก โดยเฉพาะหากไม่ระมัดระวัง
การป้องกันและการลดความเสี่ยง

- ใช้อุปกรณ์ป้องกัน
- ถุงยางอนามัย สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางปากกับอวัยวะเพศชาย
- แผ่นยางอนามัย (dental dams) สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางปากกับอวัยวะเพศหญิง
- การตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพช่องปากและลำคอเป็นประจำ
- การสื่อสารกับคู่นอน
- พูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับประวัติทางเพศและสุขภาพ
- แจ้งให้ทราบหากมีอาการผิดปกติหรือความกังวลใดๆ
- สุขอนามัยที่ดี
- ทำความสะอาดอวัยวะเพศและช่องปากก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางปากหากมีแผลหรือการติดเชื้อในปาก
ควรหรือไม่ควรมี Oral Sex ถ้ามีแผลในปากหรือเจ็บคอ?
การมีแผลในปากหรืออาการเจ็บคออาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหลายคน แต่ในบริบทของการมี OralSex สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมาก เนื่องจากแผลเปิดในช่องปากหรือคอสามารถเป็นทางผ่านของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่อยู่ในสารคัดหลั่งของคู่นอน เช่น น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อ หากมีแผลในปาก ริมฝีปากลอก มีร้อนใน หรือเพิ่งถอนฟัน การทำ OralSex ในช่วงเวลานั้นถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสเลือดจะสูงขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ อาการเจ็บคอที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้ออยู่แล้ว เช่น เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเชื้อโรคทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็นจากคุณไปสู่คู่นอน หรือจากคู่นอนมาสู่คุณ ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในกรณีนี้คือการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางปากจนกว่าร่างกายจะหายดี และหมั่นสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ เพราะการดูแลสุขภาพช่องปากก็เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยเช่นกัน
ควรตรวจโรคติดต่อบ่อยแค่ไหน หากมีพฤติกรรม Oral Sex?
การมีพฤติกรรมOral Sex อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกับคู่นอนหลายคนหรือคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะสุขภาพทางเพศ ควรพิจารณาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยทุก 6 – 12 เดือน แม้จะไม่ได้มีอาการใดๆ เพราะโรคหลายชนิดไม่มีอาการแสดงในระยะแรก การตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลตัวเองและคู่ของคุณ ทั้งนี้ ความถี่ในการตรวจควรพิจารณาตามความเสี่ยงส่วนบุคคล หากคุณมีคู่นอนใหม่บ่อยครั้ง หรือไม่ใช้การป้องกันที่เหมาะสม ความถี่ในการตรวจควรเพิ่มขึ้น และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของคุณ การตรวจสุขภาพไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือการใส่ใจและรับผิดชอบต่อสุขภาพของตัวเองและผู้อื่น
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับOral Sex ที่คุณควรรู้

แม้ว่าOral Sex จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดจำนวนมากที่ควรได้รับการแก้ไข ตัวอย่างเช่น หลายคนเชื่อว่าOral Sex ไม่มีทางทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะความจริงคือโรคอย่าง ซิฟิลิส หนองใน เริม สามารถติดต่อผ่านทางน้ำหล่อลื่น น้ำอสุจิ หรือเลือดจากแผลในปากได้ อีกความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัย ระหว่างทำOral Sex เพราะเชื่อว่าคู่ของตนปลอดภัย ซึ่งความมั่นใจโดยไม่มีการตรวจโรคอาจนำไปสู่ความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ตัดสินพฤติกรรมทางเพศจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
คำแนะนำเพิ่มเติม
การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะบริเวณช่องปากและอวัยวะเพศ ควรล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และระมัดระวังไม่ให้เกิดแผลหรือการระคายเคืองก่อนมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดก่อนหรือระหว่างกิจกรรมทางเพศ เพราะอาจส่งผลต่อการตัดสินใจ ทำให้ลืมใช้การป้องกันหรือเสี่ยงต่อพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย ผู้มีเพศสัมพันธ์ควรทำความเข้าใจวิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย (dental dam) อย่างถูกต้องทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงมากที่สุด และที่สำคัญ หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติ เช่น คัน แสบ เจ็บ หรือมีแผลในช่องปากหรืออวัยวะเพศ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจและดูแลอย่างเหมาะสม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ออรัลเซ็กส์
คำถาม | คำตอบ |
OralSex มีความเสี่ยงในการติดโรคหรือไม่? | มีความเสี่ยง โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม HPV |
สามารถมี OralSex ขณะเป็นประจำเดือนได้หรือไม่? | ไม่แนะนำ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงไม่ถูกสุขอนามัย |
ถ้ามีแผลในปาก ควรหลีกเลี่ยง OralSex หรือไม่? | ควรหลีกเลี่ยง เพราะแผลในปากเพิ่มโอกาสให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย |
OralSex ป้องกันการตั้งครรภ์ได้จริงไหม? | จริง เพราะไม่มีการสอดใส่เข้าไปในช่องคลอด แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ต้องใช้ถุงยางเพื่อป้องกันเชื้อ |
ต้องใช้ถุงยางอนามัยขณะมี Oral Sex หรือไม่? | แนะนำให้ใช้ โดยเฉพาะกับคู่นอนที่ไม่ทราบสถานะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการรับเชื้อ |
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- เป็ป (PEP) ป้องกัน HIV หลังเสี่ยง: ใช้ภายใน 72 ชั่วโมง
- Doxy-PEP | ยาป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลังมีความเสี่ยง
การมีเพศสัมพันธ์ทางปากอย่างปลอดภัย เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ การป้องกันที่ดีและการสื่อสารที่เปิดเผยกับคู่นอน จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
แหล่งที่มา
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). STDs and OralSex. https://www.cdc.gov/std/healthcomm/stdfact-stdriskandoralsex.htm
- Planned Parenthood. (n.d.). What Is OralSex?. https://www.plannedparenthood.org/learn/sex-pleasure-and-sexual-dysfunction/oral-sex
- NHS UK. (2022). Oralsex – risks and safety. https://www.nhs.uk/live-well/sexual-health/oralsex-risks-and-safety/
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และแนวทางการป้องกัน. https://ddc.moph.go.th