ผู้ติดเชื้อเอชไอวี อยู่ได้นานกี่ปี

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี อยู่ได้นานกี่ปี

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่พบเชื้อใหม่ๆ หรือพบเชื้อมาสักระยะหนึ่งแล้ว คงคิดว่าการอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเป็นเรื่องที่น่ากลัว และหลายคนสงสัยเกี่ยวกับโรคว่าจะทำให้สุขภาพของพวกเขาย่ำแย่จนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาว แม้ว่าการวินิจฉัยโรคเอชไอวี อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่การทำความเข้าใจ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่กับไวรัสเอชไอวีได้มากน้อยเพียงใด สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีตัดสินใจอย่างมีข้อเท็จจริง เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในบทความนี้ เราจะสำรวจปัจจัย ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ติดเชื้อ แนวโน้มความเสี่ยงและการดูแลสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

แม้จะมีการรณรงค์สร้างความตระหนัก และให้ความรู้มานานหลายทศวรรษ แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอชไอวี และโรคเอดส์ยังคงมีอยู่ ความเข้าใจผิดเหล่านี้ อาจนำไปสู่การตีตรา การเลือกปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งความรุนแรงต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะทำให้การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสรุนแรงยิ่งขึ้น ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับเอชไอวีและโรคเอดส์ ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อขจัดความเข้าใจผิดเหล่านี้

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ติดจากการมีเซ็กส์เท่านั้น

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมากที่สุด เกี่ยวกับเอชไอวี คือ มันติดต่อได้โดยการมีสัมพันธ์ทางเพศเท่านั้น ในความเป็นจริง เชื้อเอชไอวี สามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี ทั้งการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ติดเชื้อ และการติดต่อจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมบุตร สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าเชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส และโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือคนที่เป็นเอดส์

ความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่ง คือ เอชไอวีกับเอดส์เป็นเรื่องเดียวกัน แม้ว่าเอชไอวีจะเป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกัน แต่เอดส์เป็นโรคที่เกิดขึ้น เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง และไม่สามารถต้านทานการติดเชื้อและโรคได้ เอชไอวีเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดเอดส์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อเอชไอวีจะเป็นโรคเอดส์ ด้วยการรักษาและการดูแลที่ถูกต้องจะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว โดยไม่เคยป่วยเป็นโรคเอดส์

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เสียชีวิตแน่นอน

ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ การพยากรณ์โรคของผู้ติดเชื้อเอชไอวี มักจะแย่ และหลายคนเสียชีวิตภายในไม่กี่ปีหลังจากการวินิจฉัย อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าในการรักษา และการดูแลรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้ และผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติด้วยการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการผสมผสานยาที่สามารถชะลอการพัฒนาของไวรัส และป้องกันไม่ให้เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ และช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพที่แข็งแรง ควรสังเกตว่าการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมาก ไม่กลายเป็นโรคเอดส์แม้ในบั้นปลายของชีวิตก็ตาม

มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างกว้างขวางว่า เฉพาะคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือผู้ฉีดยาเสพติดเท่านั้นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในความเป็นจริง ทุกคนสามารถติดเชื้อเอชไอวีได้ โดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ หรือประวัติการใช้ยา เอชไอวีไม่มีการเลือกปฏิบัติ และใครก็ตามที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี

เชื้อเอชไอวี สามารถแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสภายนอก

ความเข้าใจผิดที่มีมาอย่างต่อเนื่องอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี คือ สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด การจูบ หรือการใช้ที่นั่งในห้องน้ำร่วมกัน ในความเป็นจริง เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสได้ เนื่องจากไวรัสไม่ได้แพร่กระจายทางน้ำลาย เหงื่อ หรือปัสสาวะ เชื้อเอชไอวี สามารถติดต่อผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด และน้ำนมแม่เท่านั้น

คุณไม่จำเป็นต้องตรวจเอชไอวี ถ้าคุณไม่มีอาการ

หลายคนเชื่อว่า หากไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือด อย่างไรก็ตาม เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลาหลายปีโดยไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ ที่ชัดเจน และการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นกระบวนการที่ง่ายและเป็นความลับ ซึ่งให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของแต่ละบุคคล ทุกคนควรได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และควรได้รับการตรวจบ่อยขึ้นหากพวกเขามีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่สามารถแต่งงานหรือมีลูกได้ตลอดชีวิต

ผู้ติดเชื้อสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีบุตรได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ด้วยการรักษา และการดูแลที่เหมาะสม ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถลดปริมาณเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ ซึ่งหมายความว่า เชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่กระจายได้ นั่นหมายความว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่สามารถแพร่เชื้อไวรัส หรือมีบุตรโดยไม่แพร่เชื้อเอชไอวีให้กับคู่นอนหรือบุตร ควรสังเกตว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มเติม ในระหว่างตั้งครรภ์และคลอดบุตรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ลูก

ความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ อาจนำไปสู่การตีตรา การเลือกปฏิบัติ และแม้แต่ความรุนแรงต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี สิ่งสำคัญต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอชไอวี และกำจัดความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ด้วยการให้ความรู้แก่ตนเองและผู้อื่น ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการป้องกัน การตรวจเลือด การรักษา และการดูแล โดยที่ไม่มีใครถูกตีตรา หรือเลือกปฏิบัติเนื่องจากสถานะเอชไอวีของพวกเขาอีกต่อไป

ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ปัจจัยที่ส่งผลสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ปัจจัยหลายอย่าง อาจส่งผลต่อสุขภาพที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะสามารถควบคุมไว้ได้ ดังนี้:

  • ช่วงเวลาที่ตรวจพบเชื้อ
    • หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ตั้งแต่เนิ่นๆ แนวโน้มที่จะมีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ก็มีมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำการตรวจหาเชื้อ หรือพบเชื้อช้าจนเกินแก้ หรือมีอาการที่รุนแรงมากแล้ว เนื่องจากการเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ในช่วงต้นของโรคสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสสร้างความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การเข้าถึงการรักษาเอชไอวี
    • ผู้ติดเชื้อหากได้มีการรับประทานยาต้านไวรัสที่รวดเร็ว ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ตามกระบวนการรักษาของแพทย์ มีความสำคัญต่อการบรรลุผล และคงไว้ซึ่งการยับยั้งไวรัสเอชไอวีอย่างยิ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่สามารถเข้าถึง และปฏิบัติตามการรักษาได้ จะมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า และสุขภาพแข็งแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกที่พบเชื้อ
  • ปริมาณเชื้อไวรัสและค่า CD4
    • ปริมาณไวรัสเอชไอวีในเลือด หรือ Viral Load เป็นปัจจัยสำคัญ ในการคาดการณ์โรคในระยะยาว การบรรลุ และรักษาระดับการยับยั้งไวรัสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการมีปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบได้ในอนาคตหรือผู้ติดเชื้อเข้าสู่ภาวะ U=U รวมไปถึง จำนวนค่า CD4 ที่เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่ง ที่เจ้าไวรัสเอชไอวีจะเข้ามาโจมตีและทำลาย การตรวจติดตามจำนวน CD4 มีความสำคัญ เนื่องจากให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ค่า CD4 ที่สูงขึ้น บ่งชี้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และสัมพันธ์สุขภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ดีขึ้น
  • สุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
    • ภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้นร่วมกันผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และมะเร็งบางชนิด การจัดการสภาวะเหล่านี้ ด้วยการดูแลทางการแพทย์อย่างสม่ำเสม และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต สามารถช่วยให้คุณไม่เจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อนหรือมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถหายขาดจากโรคได้เร็ว
  • ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์
    • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีวิถีชีวิตเสี่ยงๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด และมีโภชนาการที่ไม่ดี ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพ และทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาเอชไอวีด้อยลง การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในเชิงบวก สามารถช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยรวมได้

ทิศทางสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ในอดีต การวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี มีความสัมพันธ์กับอายุขัยที่ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าในการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบัน และการดูแลจากแพทย์เจ้าของคนไข้ ทำให้อายุขัยของผู้ติดเชื้อได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของศูนย์ควบคุม และป้องกันโรค (CDC) ผู้ป่วยอายุ 20 ปีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุ 70-80 ต้นๆ เลยทีเดียว โดยสามารถเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์และการรักษาที่เหมาะสมได้ โปรดทราบว่า สุขภาพของผู้ติดเชื้ออาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงการดูแลสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตส่วนตัว และยังหมายถึง สถานะทางเศรษฐกิจ และสังคม ภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้นร่วมกัน และปัจจัยด้านวิถีชีวิตอื่นๆ ด้วย

วิธีดูแลสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

กลยุทธ์ในการดูแลสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • เริ่มกระบวนการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เริ่มใช้ยาต้านไวรัส ART ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กลยุทธ์นี้สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสสร้างความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • รับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ไม่ขาดยา และทานตรงต่อเวลา ตามที่แพทย์กำหนด สามารถช่วยให้บรรลุการรักษาระดับการยับยั้งไวรัส ซึ่งสัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้น
  • เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่ เลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบห้าหมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด
  • ไม่พาตัวเองไปเสี่ยงเพิ่ม ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งหรือให้คู่นอนของตัวเองทานยาต้านไวรัสก่อนเสี่ยงที่เรียกว่า PrEP เพื่อช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ รวมไปถึง การเลิกยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เพราะการเสพยาร่วมกับผู้อื่น และใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน จะทำให้เสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม และทำให้ดื้อยา
  • การเข้าถึงบริการสนับสนุน เช่น การดูแลด้านสุขภาพจิต และกลุ่มช่วยเหลือเพื่อนผู้ติดเชื้อ สามารถช่วยให้คุณจัดการกับความท้าทายทางอารมณ์ และสังคมในการใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะส่งผลให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม

การติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า: ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

HIV (Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้อ่อนแอลง เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าเอชไอวีจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถรักษาได้ด้วยการกินยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เพื่อชะลอการลุกลามของไวรัส และป้องกันไม่ให้ทำให้เกิดโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome) แต่ไวรัสเอชไอวี จะยังไม่ถูกกำจัดให้หมดไป เนื่องจากเป็นไวรัสที่ซับซ้อนซึ่งกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการพัฒนาวัคซีน หรือการรักษาที่สามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น การตรวจพบไวและเริ่มรักษาไวจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีอายุขัยที่ยืนยาวและมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไป

Scroll to Top