การติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน

การติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน

การติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน มีโอกาสเป็นไปได้ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยแยกออกเป็น Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถพัฒนาจนกลายเป็นโรค AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) หากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และจากแม่สู่ลูก ตัวเชื้อไวรัสจะเเพร่กระจายตามกระแสเลือด ส่วน Human Papilloma Virus หรือ HPV ทำให้เกิดโรคหูดและบาดแผลในช่องคลอดและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ติดต่อโดยการสัมผัสเชื้อโดยตรง และเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ดังจะเห็นได้ว่า ทั้งสองนี้เป็นเชื้อไวรัสเหมือนกัน และมีช่องทางการติดต่อที่คล้ายคลึงกัน จึงมีโอกาสที่จะมีการติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกันได้อย่างไม่น่าสงสัย

อาการของการติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน

อาการของเอชไอวีและเอชพีวี แทบไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดเท่าไหร่นัก โดยแบ่งอาการตามชนิดของไวรัส ได้แก่:

ลักษณะอาการของการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครมีเชื้อเอชไอวีอยู่จากการสังเกตอาการที่เกิดขึ้น การจะรู้ได้ว่ามีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ จะต้องได้รับการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น แต่อาการดังต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ หากไม่ได้สังเกตก็จะไม่ทราบว่ามีอาการ เพราะลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ค่อนข้างคล้ายคลึงกับโรคอื่นทั่วไป เช่น

  • ปวดศีรษะ มีไข้ เจ็บคอ
  • มีผื่นที่บนผิวหนัง
  • ปวดกล้ามเนื้อและบริเวณข้อ
  • ต่อมน้ำเหลืองโตบวมโต
  • คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกอ่อนเพลีย
  • มีเหงื่อออกในตอนกลางคืน
  • ท้องเสีย น้ำหนักลดลง
อาการของการติดเชื้อ HIV และ HPV ร่วมกัน

ลักษณะอาการของการติดเชื้อเอชพีวี (HPV)

อาการป่วยจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่ได้รับเชื้อมา จนเกิดโรคต่างๆ เช่น

  • โรคหูดทั่วไป : พบเป็นตุ่มเล็กๆ ผิวขรุขระ อาจมีสีขาว สีเนื้อ สีขาว สีน้ำตาลอ่อน หรือสีชมพู หูดประเภทนี้มักขึ้นตามฝ่ามือ นิ้วมือ หรือตามข้อต่างๆ ของร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ในบางครั้ง และผิวหนังบริเวณที่เกิดหูดนี้จะมีเลือดออก หรือเกิดแผลได้ง่ายกว่าปกติ
  • โรคหูดชนิดแบน : พบเป็นตุ่มขนาดเล็ก ผิวเรียบ อาจมีสีเข้มกว่าสีผิวปกติของผู้ติดเชื้อเอง และหูดมีลักษณะนูนขึ้นมาจากผิวหนังเล็กน้อย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย หากเป็นเด็ก มักพบตามใบหน้า หากเป็นผู้หญิงมักเกิดบริเวณขา ส่วนผู้ชายมักพบได้บ่อยบริเวณเคราหรือคาง
  • โรคหูดฝ่าเท้า : พบเป็นตุ่มแข็ง ผิวค่อนข้างหยาบ มักขึ้นบริเวณส้นเท้า โคนหัวแม่เท้า จมูกเท้า หรือเนินปลายเท้า และทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างยืนหรือเดิน ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ลุกลามไปยังส่วนอื่นได้
  • โรคหูดอวัยวะเพศ (หูดหงอนไก่) : พบเป็นติ่งเนื้อ ผิวขรุขระ มักพบบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนักได้ทุกเพศ แต่ไม่รู้สึกเจ็บหรือคันแต่อย่างใด

ทำไมการติดเชื้อเอชไอวีและเอชพีวีร่วมกันจึงมีความน่ากลัว

หากคุณมีการติดเชื้อเอชไอวีและเอชพีวีร่วมกัน ถือว่าเป็นสภาวะที่ค่อนข้างอันตราย เพราะโรคทั้งสองชนิดนี้มีโอกาสลุกลามกลายเป็นโรคร้ายและอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการตรวจพบและเข้าสู่กระบวนการรักษา เชื้อ HIV เป็นจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อ่อนแอลง เมื่อผู้ติดเชื้อไม่ได้กินยาต้านไวรัสเพื่อกดจำนวน เชื้อก็จะพัฒนากลายเป็นโรคเอดส์ ซึ่งตอนนั้นระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่สามารถต่อต้านเชื้อได้แล้ว ยิ่งถ้าหากติดทั้งเชื้อเอชไอวีและเอชพีวี พร้อมกัน สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเชื้อ HPV เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งช่องปากและลำคอ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับเชื้อ HPV เช่น ก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ และผลตรวจ Pap Smear ผิดปกติ นอกจากนี้ HIV ยังสามารถทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เพิ่มความเสี่ยงของโรค และภาวะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง สภาพร่างกายก็จะเจ็บป่วยได้ง่าย และเมื่อเชื้อแพร่กระจายไปทั่วร่างกายโดยกระแสเลือด จะเข้าสู่การเสียชีวิตในที่สุด

ขั้นตอนการรักษาโรค HIV และ HPV

ในส่วนของโรคเอชไอวีและเอชพีวียังไม่มีวิธีการรักษา ที่ยืนยันประสิทธิภาพการกำจัดไวรัสออกไปจนหมดสิ้นจากร่างกายได้ แต่เชื้อ HPV มีข้อดีกว่าตรงที่หากร่างกายของผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันก็จะค่อยๆ กำจัดเชื้อ HPV ออกได้เอง ทั้งนี้ ต้องอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น การให้ความสำคัญในการตรวจสุขภาพและหมั่นคัดกรองเชื้อไวรัสเอชไอวี และเชื้อไวรัสเอชพีวีเป็นประจำ จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรค หรือควบคุมโอกาสที่จะเกิดการพัฒนาของโรคที่รุนแรงลงได้มาก

  • การรักษาการติดเชื้อร่วมกันของเอชไอวีและเอชพีวี ต้องใช้วิธีการรักษาที่ครอบคลุม และเน้นทั้งสองเชื้อโรค การใช้ยาต้านไวรัส HIV (Antiretroviral therapy: ART) เป็นการรักษาหลักสำหรับ HIV ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งไวรัสไม่ให้แพร่กระจายเชื้อได้
  • การรักษา HPV อาจประกอบไปด้วยการใช้ยาต้านไวรัส การตัดก้อนหรือติ่งเนื้อผิดปกติออก หรือฉีดวัคซีนป้องกัน HPV นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว การดูแลใส่ใจในสุขภาพยังสามารถช่วยในการจัดการ การติดเชื้อเอชไอวีและเอชพีวีร่วมกันได้ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยการใช้เสริมด้วยอาหารที่มีประโยชน์ การลดความเครียด และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น เลิกสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ งดเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ฯลฯ

การจัดการการติดเชื้อร่วมกันของเอชไอวีและเอชพีวี อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ สำคัญที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อร่วมกันจะต้องพบแพทย์และได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ การจัดการกับผลกระทบทางอารมณ์จากการติดเชื้อร่วมกัน อาจต้องใช้การสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การติดเชื้อร่วมกันของเอชไอวีและเอชพีวี สามารถมีผลกระทบทางสุขภาพอย่างร้ายแรงได้ แต่หากมีการตรวจพบและได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีและเอชพีวีร่วมกันสามารถมีชีวิตที่สมบูรณ์และมีความสุขได้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยง อาการ และตัวเลือกการรักษาสำหรับการติดเชื้อเอชไอวีและเอชพีวีร่วมกัน และเริ่มต้นดำเนินการป้องกันและการจัดการโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการร่วมมือกับแพทย์ผู้รักและการปฏิบัติตัวทางเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

Scroll to Top