การตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลสุขภาพ ทั้งในมิติของการรักษา ป้องกัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ตรวจ การ ตรวจเลือด HIV ไม่เพียงช่วยให้ผู้ที่ติดเชื้อสามารถเริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปยังผู้อื่น รวมถึงเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคนี้ในระดับสังคม
หัวข้อต่างๆ
การวินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาได้เร็ว
การตรวจเลือด HIV เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มียาต้านไวรัส (ARV) ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว การตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มต้นส่งผลให้สามารถควบคุมไวรัสได้เร็ว ป้องกันการลุกลามของเชื้อที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย และลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคมะเร็งบางประเภท
ในทางการแพทย์ พบว่าผู้ที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยา ARV ในช่วงที่ภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับที่ดีจะมีโอกาสฟื้นฟูสุขภาพได้มากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ปล่อยให้โรคลุกลาม การรักษาที่เร็วช่วยให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีทั่วไป (Undetectable Viral Load) ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงช่วยรักษาสุขภาพของผู้ป่วย แต่ยังลดโอกาสการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

การตรวจเลือด HIV ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะสำหรับตัวผู้ตรวจเท่านั้น แต่ยังมีผลโดยตรงต่อการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังคู่รักหรือบุคคลใกล้ชิด การทราบสถานะการติดเชื้อช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถวางแผนและปฏิบัติตามวิธีการป้องกันได้อย่างเหมาะสม เช่น
- การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- การแจ้งสถานะการติดเชื้อให้คู่รักหรือคู่สมรสทราบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
- การใช้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) สำหรับคู่รักที่ยังไม่ติดเชื้อ
นอกจากนี้ แนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) หรือ “ถ้าตรวจไม่พบไวรัส ก็ไม่แพร่เชื้อ” ยังได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าผู้ติดเชื้อที่ควบคุมปริมาณไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ สามารถใช้ชีวิตคู่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแพร่เชื้อ
เสริมสร้างความมั่นใจและลดความวิตกกังวล
ความกังวลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพโดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตในระยะยาว การตรวจเลือด HIV ช่วยลดความไม่แน่นอนและเสริมสร้างความมั่นใจ หากผลการตรวจเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ) ผู้ตรวจสามารถรับรู้สถานะสุขภาพของตนเองได้ชัดเจน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต เช่น การป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์หรือการหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
สำหรับผู้ที่ผลตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อ) การตรวจยังช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเป็นระบบ โดยมีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำและการสนับสนุน การทราบผลเร็วช่วยให้พวกเขาเข้าถึงบริการทางการแพทย์และชุมชนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมีผลดีทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
การสร้างความตระหนักรู้ในสังคม
การตรวจเลือด HIV เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรค HIV/AIDS มากขึ้น ในอดีต ผู้ติดเชื้อมักเผชิญกับการตีตราและการกีดกันจากสังคม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการรณรงค์ที่ช่วยลดอคติเหล่านี้ โดยส่งเสริมให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการตรวจเลือดและการป้องกันเชื้อ HIV อย่างถูกวิธี
เมื่อการตรวจเลือดกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม ผู้คนจะมีทัศนคติที่เป็นบวกต่อการดูแลสุขภาพ และช่วยลดความกลัวหรือความลังเลที่จะเข้ารับการตรวจ สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อผู้ตรวจเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อในสังคมโดยรวม
การป้องกันผลกระทบระยะยาวจาก HIV
หากไม่ได้รับการตรวจเลือด HIV และปล่อยให้เชื้อไวรัสสะสมในร่างกายเป็นเวลานานโดยไม่รู้ตัว อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจนเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด ผลกระทบเหล่านี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลถึงคุณภาพชีวิต การทำงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย การตรวจเลือด HIV และเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสทำลายภูมิคุ้มกันจนถึงระดับนั้น ช่วยป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปถึงขั้นเอดส์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และมีสุขภาพที่ดี
ความสำคัญในบริบทของครอบครัวและการวางแผนชีวิต
การตรวจเลือด HIV ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อบุคคล แต่ยังมีความหมายต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและการวางแผนชีวิตในอนาคต ผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่ ควรพาคู่ของตนไปตรวจเลือด HIV เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายรู้สถานะของกันและกัน และสามารถวางแผนการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หากกำลังวางแผนจะมีบุตร การทราบว่าตนเองมีเชื้อ HIV หรือไม่ก็จะช่วยให้สามารถเลือกแนวทางการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สำหรับคนที่มีครอบครัวอยู่แล้ว การตรวจเลือด HIV ยังช่วยให้สามารถดูแลตนเองและปกป้องสมาชิกในครอบครัวได้ดีขึ้น การรู้เท่าทันโรคและรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเองจึงเป็นรากฐานของการสร้างครอบครัวที่มั่นคงและมีสุขภาพดี
ใครบ้างที่ควร ตรวจเลือด HIV
การตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ไม่เพียงเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังเหมาะสมสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพของตนเองและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในวงกว้าง โดยกลุ่มบุคคลที่ควรเข้ารับการตรวจเลือด HIV มีดังนี้
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ : การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือการใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะเมื่อมีคู่รักหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ทราบสถานะการติดเชื้อ การตรวจเลือด HIV ช่วยให้มั่นใจว่าสุขภาพปลอดภัยและป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น : กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดร่วมกันทำให้มีโอกาสติดเชื้อ HIV รวมถึงโรคติดต่ออื่น ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี
- คู่รักที่วางแผนมีบุตร : ตรวจเลือด HIV เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับคู่รักที่วางแผนมีบุตร เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก การทราบสถานะการติดเชื้อช่วยให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำในการป้องกันและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาต้านไวรัสระหว่างตั้งครรภ์และการปฏิบัติที่ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
- ผู้ที่ทำงานในสายอาชีพเสี่ยง : บุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล หรือผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการ อาจมีโอกาสสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ HIV โดยไม่ตั้งใจ การตรวจเลือดเป็นประจำช่วยให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมในกรณีที่มีความเสี่ยง
- บุคคลที่เคยสัมผัสหรือสัมผัสเชื้อโดยไม่ตั้งใจ : หากคุณเคยสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรืออุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเชื้อ HIV เช่น การถูกเข็มที่ปนเปื้อนตำ การตรวจเลือด HIV เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยสถานะสุขภาพและรับคำแนะนำสำหรับการป้องกันเพิ่มเติม เช่น การใช้ยาป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ (PEP)
- คู่รักที่เริ่มต้นชีวิตคู่ : การตรวจเลือด HIV ร่วมกัน เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ช่วยสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
- บุคคลทั่วไปที่ใส่ใจสุขภาพ : แม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจเลือด HIV เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปีที่แนะนำสำหรับทุกคน การทราบสถานะการติดเชื้อช่วยให้คุณดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
ประเภทของผล ตรวจเลือด HIV

ตรวจเลือด HIV แล้วผลเป็นลบ
ผลลบ (Negative) หมายถึงไม่พบเชื้อ HIV ในตัวอย่างเลือดของคุณ แต่ไม่ใช่การยืนยันแน่นอนว่าไม่มีเชื้อ เนื่องจากอาจอยู่ในช่วง “ระยะฟักตัว” (Window Period) ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังการติดเชื้อแต่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีเพียงพอที่จะตรวจพบ
- หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงเร็ว ๆ นี้ (เช่น ภายใน 2-4 สัปดาห์ก่อนการตรวจ) แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจซ้ำในระยะเวลาที่เหมาะสม
- การตรวจที่แน่นอนควรทำหลังพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 1-3 เดือน เพื่อให้ผลตรวจมีความแม่นยำสูงสุด
ตรวจเลือด HIV แล้วผลเป็นบวก
ผลบวก (Positive) หมายถึงตรวจพบเชื้อ HIV ในเลือดของคุณ อย่างไรก็ตาม ผลตรวจครั้งแรกจะถือเป็นผลเบื้องต้น (Preliminary Positive) และต้องมีการตรวจยืนยันเพิ่มเติม เช่น การตรวจแบบ Western Blot หรือ NAT (Nucleic Acid Test) เพื่อความแม่นยำหากผลตรวจยืนยันว่าคุณติดเชื้อ HIV
- ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับคำปรึกษาและเริ่มต้นการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV)
- ปัจจุบันผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
สิ่งที่ต้องทำเมื่อทราบผล ตรวจเลือด HIV
กรณีผลเป็นลบ (Negative) | กรณีผลเป็นบวก (Positive) |
หากไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงใหม่ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าสุขภาพของคุณปลอดภัย | อย่าตกใจหรือหมดหวัง ปัจจุบันการรักษาด้วยยา ARV มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดีและลดปริมาณไวรัสจนไม่สามารถตรวจพบได้ |
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ | รับคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพจิตเพื่อการวางแผนดูแลตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ |
หากยังมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีป้องกัน ก่อน สัมผัสเชื้อ (PrEP) | แจ้งสถานะการติดเชื้อให้คู่รักหรือคนใกล้ชิดทราบ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ |
ตรวจเลือด HIV ได้ที่ไหนบ้าง ?
กรุงเทพมหานคร | สถานบริการ | จองคิวออนไลน์ |
---|---|---|
เซฟ คลินิก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
คลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้งรามคำแหง | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
คลินิกรักษ์เพื่อนคณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
แมกซ์ เวลเนส คลินิก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
SWING THAILAND สาขาสีลม | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
SWING THAILAND สาขาเพชรเกษม | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
SWING THAILAND สาขาสะพานควาย | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
BRO บางกอกเรนโบว์ (สะพานควาย) | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
BUDDY CU Clinic โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
คลินิกแทนเจอรีน | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
บ้านเสมอ โดย มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
at First Clinic | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
พริบตาคลินิก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
Glove Clinic | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
PULSE Clinic | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
พีเอสเคคลินิกเวชกรรม | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
คลีนิคนิรนาม | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
ต่างจังหวัด | สถานบริการ | จองคิวออนไลน์ |
---|---|---|
เชียงใหม่ | คลินิกเทคนิคการแพทย์เอ็มพลัส | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
แคร์แมท | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
พิมาน คลินิก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
คลินิก ฮักษา กลางเวียง | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
ชลบุรี | คลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้งเมืองชลบุรี | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
มูลนิธิซิสเตอร์ ศูนย์พัทยา | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
SWING THAILAND สาขาพัทยา | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
อุบลราชธานี | คลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้งอุบลราชธานี | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
ขอนแก่น | แอ๊คทีม ศูนย์บริการสุขภาพชุมชน | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
คลินิกเพื่อนซี้วัยรุ่น KK Befriend | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
อุดรธานี | คลินิกเทคนิคการแพทย์เอ็มเฟรนด์ | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
ภูเก็ต | ภูเก็ต เมดิคอล (โบ๊ทลากูน) | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
ภูเก็ต เมดิคอล (ลากูนา) | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว | |
สุราษฎร์ธานี | วีระพงศ์ คลินิก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
สงขลา | คลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้งหาดใหญ่ | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
นครราชสีมา | เอ็มพลัส นครราชสีมา | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
พะเยา | ศูนย์บริการสุขภาพที่เป็นมิตรน้ำกว๊านสีรุ้ง | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
เชียงราย | เอ็มพลัส เชียงราย | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
นครสวรรค์ | ฟ้าสีรุ้ง นครสวรรค์ | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
พิษณุโลก | เอ็มพลัส พิษณุโลก | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
นครปฐม | ฟ้าสีรุ้ง นครปฐม | คลิกที่นี่เพื่อจองคิว |
ไขข้อสงสัย ตรวจเลือด HIV แล้วเจ็บไหม ?
ความกลัวว่า “ตรวจเลือด HIV แล้วจะเจ็บไหม” เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนลังเล แต่ความจริงคือ การตรวจเลือด HIV เป็นขั้นตอนที่แทบไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้วิธีเจาะปลายนิ้วซึ่งใช้เข็มขนาดเล็กมาก เจ็บเพียงแค่แป๊บเดียว บางคนแทบไม่รู้สึกเลย สำหรับการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำก็เป็นขั้นตอนทางการแพทย์ปกติที่ใช้ในการตรวจสุขภาพทั่วไป และทำโดยเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้สึกไม่สบายอาจเกิดขึ้นเล็กน้อยแต่จะหายไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ สถานที่ให้บริการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายของผู้มารับบริการ ดังนั้นความกลัวเรื่องความเจ็บไม่ควรเป็นอุปสรรคในการตรวจเลือด HIV เพราะการตรวจคือก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณ
ต้องงดน้ำงดอาหารไหม ก่อนตรวจเลือด HIV ?

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจเลือด HIV คือ จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนตรวจหรือไม่ คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร เพราะการตรวจเลือด HIV ไม่ใช่การตรวจระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือด แต่เป็นการตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจนของเชื้อ HIV ดังนั้นสามารถรับประทานอาหารตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการตรวจควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการ เพราะอาจมีผลต่อการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่และการประเมินความเสี่ยง นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และเตรียมใจให้พร้อมเพื่อรับฟังผลไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด การเข้าใจขั้นตอนล่วงหน้าจะช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้การตรวจเลือด HIV เป็นประสบการณ์ที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความถี่ในการตรวจเลือด ควรตรวจบ่อยแค่ไหน ?
การตรวจเลือด HIV ควรทำเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจปีละครั้งเหมาะสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยงสูง แต่ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่ติดเชื้อ HIV ควรตรวจอย่างน้อยทุก 3 ถึง 6 เดือนตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคและองค์การอนามัยโลก การตรวจบ่อยครั้งไม่ใช่แค่การหาคำตอบว่าเราติดเชื้อหรือไม่ แต่เป็นการดูแลสุขภาพระยะยาว และยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้อีกด้วย ความสม่ำเสมอในการตรวจเลือด HIV คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อ
อ่านบทความที่น่าสนใจ
การตรวจเลือด HIV เป็นมากกว่าการวินิจฉัยโรค แต่เป็นการส่งเสริมการดูแลสุขภาพในมิติที่กว้างขึ้น ทั้งในแง่ของการรักษา การป้องกัน และการสร้างความมั่นใจ การตรวจเชิงรุกและการรับมืออย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อในสังคม พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ที่ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
แหล่งที่มา
- UNAIDS. (2022). สถิติ HIV & เอดส์ ทั่วโลก — แผ่นข้อมูล.
สืบค้นจาก https://www.unaids.org - ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC). (2022). การตรวจหาเชื้อ HIV.
สืบค้นจาก https://www.cdc.gov/hiv/testing - องค์การอนามัยโลก (WHO). (2021). แนวทางปฏิบัติรวมเกี่ยวกับบริการตรวจหาเชื้อ HIV.
สืบค้นจาก https://www.who.int