เมื่อพูดถึง “มะเร็งช่องปาก” หลายคนมักนึกถึงคนสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่หลายคนอาจไม่รู้ — นั่นคือ “พฤติกรรมทางเพศแบบออรัล” (Oral Sex แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตคู่ยุคใหม่ และหลายคนคิดว่า “ปลอดภัยกว่า” การมีเพศสัมพันธ์แบบอื่น แต่ในทางการแพทย์พบว่า การทำออรัลเซ็กส์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็งช่องปาก โดยเฉพาะหากมีการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง บทความนี้ จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “มะเร็งช่องปาก” เกิดจากอะไร ทำไมพฤติกรรมทางเพศแบบออรัลจึงเกี่ยวข้อง และเราจะป้องกันความเสี่ยงนี้ได้อย่างไรแบบเข้าใจง่ายและไม่ต้องตื่นตระหนก
หัวข้อต่างๆ
มะเร็งช่องปาก คืออะไร?
“มะเร็งช่องปาก” (Oral Cancer) คือการเกิดเซลล์ผิดปกติในบริเวณช่องปาก เช่น ลิ้น เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม หรือบริเวณโคนลิ้นและต่อมทอนซิล ซึ่งสามารถลุกลามไปยังลำคอและระบบทางเดินหายใจได้ โดยทั่วไป มะเร็งช่องปากมักเกิดจาก การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี แต่ในช่วง 10–20 ปีที่ผ่านมา แพทย์พบแนวโน้มใหม่ที่น่ากังวล — คือการเพิ่มขึ้นของมะเร็งช่องปากจาก เชื้อไวรัส HPV ที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
เชื้อ HPV คืออะไรและเกี่ยวกับ มะเร็งช่องปาก อย่างไร?
HPV (Human Papillomavirus) คือเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะผ่านการสัมผัสผิวหนังหรือเยื่อบุในขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก เชื้อ HPV มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งช่องปากบ่อยที่สุดคือ HPV-16 และ HPV-18 ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง
เมื่อเชื้อ HPV เข้าสู่ช่องปาก มันสามารถไปเกาะที่เนื้อเยื่อในบริเวณคอหอย ลิ้น หรือต่อมทอนซิล และอาจกระตุ้นให้เซลล์บริเวณนั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็งในระยะยาวได้ โดยเฉพาะหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น สูบบุหรี่

ทำไมพฤติกรรม “ออรัลเซ็กส์” ถึงเพิ่มความเสี่ยง มะเร็งช่องปาก
- เชื้อ HPV ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง การทำออรัลเซ็กส์กับผู้ที่มีเชื้อ HPV (แม้ไม่มีอาการ) สามารถทำให้เชื้อเข้าสู่ช่องปากได้โดยตรงผ่านน้ำลายหรือเยื่อบุ
- การมีคู่นอนหลายคน เพิ่มโอกาสติดเชื้อ HPV เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าคู่นอนมีเชื้อหรือไม่ เนื่องจากผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการใด ๆ
- การไม่ใช้การป้องกันระหว่างออรัลเซ็กส์ หลายคนมองว่าออรัลเป็นเรื่องปลอดภัยและไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางหรือแผ่นยางอนามัย แต่จริง ๆ แล้วสามารถลดความเสี่ยงได้มาก
- ภูมิคุ้มกันในช่องปากต่ำ แผลในช่องปาก เหงือกอักเสบ หรือการสูบบุหรี่จะทำให้เชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
- เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง จากสถิติทั่วโลกพบว่า มะเร็งช่องปากจากเชื้อ HPV พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3–4 เท่า เพราะมักเป็นฝ่ายที่ทำออรัลกับอวัยวะเพศหญิงหรือชายโดยไม่ป้องกัน
สัญญาณเตือนของ มะเร็งช่องปาก ที่ควรระวัง
- แผลในปากที่ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์
- มีก้อนหรือจุดแข็ง ๆ ในปากหรือคอ
- เจ็บคอเรื้อรัง กลืนลำบาก
- เสียงแหบโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดหู หรือมีเลือดออกในปาก
- ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพราะการตรวจพบเร็วคือกุญแจสำคัญในการรักษาให้หายได้
การตรวจหามะเร็งช่องปากจากเชื้อ HPV
แพทย์สามารถตรวจหาเชื้อ HPV ในช่องปากได้โดยใช้วิธี
- Swab Test: ใช้ไม้พันสำลีป้ายตัวอย่างจากเยื่อบุช่องปาก
- Biopsy: เจาะเนื้อเยื่อบริเวณสงสัยเพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ของเซลล์
- HPV DNA Test: ตรวจหา DNA ของไวรัสในตัวอย่างเนื้อเยื่อ
การตรวจเหล่านี้ช่วยให้พบเชื้อได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก่อนที่เซลล์จะเปลี่ยนเป็นมะเร็งในอนาคต
การรักษามะเร็งช่องปาก
การรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค เช่น
- ผ่าตัด เพื่อตัดก้อนเนื้อออก
- ฉายรังสี (Radiation Therapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- เคมีบำบัด (Chemotherapy) ในกรณีที่มะเร็งลุกลาม
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) สำหรับผู้ป่วยบางราย
ผู้ที่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้นมีโอกาสหายสูงถึง 80–90% ดังนั้น “การตรวจพบเร็ว” จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- วัคซีน HPV ใครบ้างที่ควรฉีด? คู่มือสำหรับทุกช่วงวัย
- กามโรค ใดรักษาหาย และรักษาไม่หาย รวมโรคยอดฮิตที่ควรรู้จัก
💡 วิธีป้องกันมะเร็งช่องปากที่ทุกคนทำได้
- ฉีดวัคซีน HPV
- วัคซีน HPV ไม่ได้ป้องกันแค่มะเร็งปากมดลูก แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งช่องปากได้ด้วย โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV-16 และ HPV-18
- แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9–26 ปี แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถฉีดได้หลังปรึกษาแพทย์
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันระหว่างออรัลเซ็กส์
- การใช้ ถุงยางอนามัย หรือ แผ่นยางอนามัย (Dental Dam) สามารถช่วยลดการสัมผัสเชื้อ HPV ได้มาก
- รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
- หมั่นแปรงฟัน ใช้น้ำยาบ้วนปาก และตรวจสุขภาพช่องปากปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ทันสังเกตอาการผิดปกติ
- หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
- สารเคมีในบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุช่องปากอ่อนแอ เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง
- ตรวจสุขภาพทางเพศสม่ำเสมอ
- หากคุณมีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อดูแลสุขภาพโดยรวม
มะเร็งช่องปากในกลุ่ม LGBTQ+
จากงานวิจัยหลายฉบับพบว่า กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และกลุ่มคนข้ามเพศหญิง มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ทางช่องปากสูงกว่ากลุ่มทั่วไป เนื่องจาก
- มีการทำออรัลเซ็กส์โดยไม่ป้องกันบ่อยกว่า
- ขาดการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพทางเพศเฉพาะทาง
- ไม่กล้าไปตรวจเพราะกลัวถูกตีตรา
ดังนั้น การส่งเสริมความรู้เรื่อง มะเร็งในช่องปาก และการป้องกันเชื้อ HPV จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในกลุ่ม LGBTQ+ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเพศสัมพันธ์ แต่คือเรื่องของ “สุขภาพและสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง”
เคล็ดลับง่าย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งช่องปาก
- ใช้เจลหล่อลื่นสูตรน้ำทุกครั้งเพื่อลดการระคายเคืองระหว่างออรัล
- หลีกเลี่ยงการทำออรัลเมื่อมีแผลในปาก
- หมั่นตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำ
- พูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณอย่างเปิดใจและจริงใจ
- ไม่ควรละเลยการฉีดวัคซีน HPV แม้ว่าจะอายุเกิน 26 ปี เพราะยังช่วยลดความเสี่ยงบางส่วนได้

สรุป: “มะเร็งช่องปาก” ป้องกันได้ถ้าเข้าใจ
“มะเร็งช่องปาก” ไม่ได้เกิดแค่จากบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ แต่ยังสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศบางรูปแบบ โดยเฉพาะการทำออรัลเซ็กส์โดยไม่ป้องกัน สิ่งสำคัญคืออย่ารู้สึกอายที่จะพูดถึงหรือป้องกัน เพราะสุขภาพทางเพศคือเรื่องของ “ความรับผิดชอบต่อตัวเองและคู่ของคุณ” หากเรารู้เท่าทันเชื้อ HPV ฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพ และใช้การป้องกันอย่างถูกวิธี — มะเร็งช่องปากก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
อ้างอิงข้อมูล:
✪ ตรวจเช็ค 6 สัญญาณเตือน โรคมะเร็งในช่องปาก
✪ รอยโรคก่อนเป็นมะเร็งช่องปาก จะสังเกตได้อย่างไร?
✪ ระวัง..แผลในช่องปาก อาจไม่ใช่ ร้อนใน แต่เป็น มะเร็ง




